ภาคเรียนที่ 2 กฎหมาย !!




1.1 ความหมายของกฎหมาย


1. ความเบื้องต้น
ในสังคมใด ๆ ก็ตามที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน ย่อมมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลในสังคม ไม่ว่าจะปรากฏในรูปแนวความคิด ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับหรือแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมซึ่งสมาชิกในสังคม หรือเรียกได้ว่าเป็นบรรทัดฐานทางสังคม (Norm social - Social Norm) ที่ทุกๆ คนยอมรับและประพฤติปฏิบัติตาม

บรรทัดฐานทางสังคม เมื่อถูกกำหนดโดยบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุด (Souverain - Sovereign) หรือรัฐาธิปัตย์ หรือองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดโดยผ่านกระบานการทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ แล้วนำมาใช้บังคับกับทุกๆ คน เราเรียกบรรทัดฐานทางสังคมนี้ว่า “กฎหมาย” (Droit Law)

กฎหมาย โดยสภาพมีบทบาทในการกำหนดให้บุคคลในสังคมกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง (แล้วแต่วัตถุประสงค์ของกฎหมาย) ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ในการให้ความคุ้มครองผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำโดยกำหนดเครื่องมือที่ใช้บังคับหรือลงโทษบุคคลที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

ดังนั้น บรรทัดฐานที่ทางสังคมที่ถูกจัดทำให้เป็นกฎหมายแล้วจึงแปรสภาพมาเป็น “บรรทัดฐานทางกฎหมาย” (Norme Juridique – Legal Norm) ที่ใช้ตัดสินว่าการกระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว และอะไรควรประพฤติปฏิบัติ อะไรไม่ควรประพฤติปฏิบัติในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันของบุคคลในสังคม

เมื่อพิจารณากฎหมายในเชิงบทบาทและหน้าที่แล้ว เราจะพบว่า กฎหมายมีวัตถุประสงค์ที่จัดระเบียบเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติของบุคคลหรือจัดระเบียบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมรวมทั้งระหว่างบุคคลในสังคมในสังคมกับรัฐในบริบทต่างๆ ทั้งที่เป็นการจัดระเบียบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ฯลฯ

ในขอบเขตทางการเมือง มีกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเมืองการปกครองเป็นหลักในการจัดระเบียบความสัมพันธ์ ในทางเศรษฐกิจมีกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ รวมทั้งกฎหมายเศรษฐกิจ (Droit economique – Economic Law) เป็นหลักในการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างเอกชนและระหว่างเอกชนกับรัฐ ขณะที่ในขอบเขตทางสังคมมีกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นหลักในการจัดระเบียบฯ


การจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและระหว่างบุคคลกับรัฐในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมดังกล่าวที่ปรากฏในรูปของกฎหมาย มีวัตถุประสงค์เฉพาะหน้าเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม และเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือสร้างดุลยภาพทางสังคมในระยะสั้นและระยะยาว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจัดระเบียบตามความเป็นจริงไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแข้งได้ทุกกรณีไป แต่อย่างน้อยบทบาทและหน้าที่ของกฎหมายไม่ว่าจะอยู่ในปริมณฑลใด ในเบื้องต้นก็มุ่งที่จะรักษาดุลแห่งผลประโยชน์ระหว่างบุคคลและระหว่างบุคคลกับรัฐ โดยพยายามให้ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์และความพอใจสูงสุดและกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือสังคมน้อยที่สุด ดังที่ได้กล่าวแล้วว่ากฎหมายมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างดุลยภาพทางสังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว


ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับกฎหมาย


มีผู้ให้คำนิยามและความหมายของคำว่ารัฐไว้หลายความหมาย ซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้องต้องกันและสอดคล้องกันวิวัฒนาการของสังคมโลกเราที่แบ่งออกเป็นรัฐต่างๆ ในปัจจุบัน

ศาสตราจารย์ โอริอู (Maurice Hauriou) แห่งมหาวิทยาลัยตูลูส ฝรั่งเศส อธิบายว่า รัฐ คือ “การรวมเอาระบบเศรษฐกิจ การเมือง และกฎหมายเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสถาปนาระบอบการปกครองขึ้นในสังคมนั้น”
ศาสตราจารย์วิษณุ เครืองาม อธิบายไว้ว่า รัฐ “หมายถึงสังคมการเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยดินแดนหรืออาณาเขตอันแน่ชัดและราษฎรหรือสมาชิกของสังคมการเมืองนั้น ตลอดจนอำนาจทางการเมือง การปกครองในอันที่จะรักษารัฐนั้น ไว้ให้ดำรงต่อไปได้”

ในด้านกฎหมายระหว่างประเทศ อนุสัญญามอนเทริเอโอ ว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของรัฐ (The Montevideo Convention on the rights and Duties of States) ค.ศ. 1933 มาตรา 1 ได้อธิบายองค์ประกอบของรัฐไว้ว่า ต้องประกอบด้วย


- ประชากรที่อยู่รวมกันถาวร

- ดินแดนที่กำหนดได้อย่างแน่ชัด

- รัฐบาล

- ความสามารถที่จะสถาปนาความสัมพันธ์กับต่างรัฐได้

เมื่อพิจารณาคำนิยามความหมายของรัฐเราจะพบว่า รัฐ ย่อมเกี่ยวพันกับอำนาจในการทำให้รัฐ

ดำรงอยู่ รัฐจึงจำเป็นต้องจัดระเบียบ ที่ปรากฏในรูปของกฎหมายที่กำหนดอำนาจต่างๆ ไว้ กฎหมายจึงเป็นผลผลิตที่เกิดจากการมีรัฐขึ้นก่อน และภายในรัฐได้มีการจัดระเบียบในรูปของกฎหมายที่กำหนดอำนาจต่างๆ ตามมา เนื้อหาสาระบัญญัติของกฎหมายจะสอดคล้องกับความต้องการมีอำนาจต่างๆ ของรัฐ และได้มีการกำหนดรายละเอียดในกฎหมายมากขึ้น เช่น รูปของรัฐ อำนาจอธิปไตย สิทธิเสรีภาพของประชาชน การใช้อำนาจอธิปไตย รัฐบาล ฯลฯ ซี่งเราเรียกกฎหมายนี้ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายสูงสุดของรัฐ

การดำรงอยู่ของรัฐนั้นมีความสัมพันธ์กับบริบทต่างๆ ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นเพื่อให้รัฐสามารถดำรงความเป็นรัฐอยู่ได้ตลอดไป แต่ละรัฐจึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีกฎหมายทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อการดำรงอยู่ของรัฐนั่นเอง


ในขอบเขตทางการเมือง การจัดระเบียบทางการเมืองของสังคมไทยได้เปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและมีอำนาจเด็ดขาด มาสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดและวางหลักเกณฑ์ และระเบียบเกี่ยวกับสถาบันการเมืองการปกครอง และองค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็น 3 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์ ทรงมีพระราชอำนาจในการจัดระเบียบการเมืองการปกครองโดยนิตินัยแต่เพียงพระองค์เดียวแต่ในปัจจุบันเรามีระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนคนไทยทุกคน ใช้อำนาจนั้นผ่านทางผู้แทนโดยการเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย


ในทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ การจัดระเบียบทางการเมือง ดำเนินไปภายใต้กฎหมายสูงสุดคือกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้จัดระเบียบ เกี่ยวกับการเมืองการการปกครองไว้อย่างสอดคล้องกับพัฒนาการทางการเมืองของสังคมไทย โดยมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั้งนี้โดยคำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสำคัญ

การจัดระเบียบในทางการเมืองการปกครอง นอกจากมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการปกครองประเทศที่แบ่งอำนาจออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการแล้ว ยังได้ก่อตั้งองค์กรอิสระ ทำหน้าที่ในการตรวจสอบและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองและการปกครองมากยิ่งขึ้นในนอกจากนั้น ยังมีกฎหมายที่บัญญัติโดยฝ่ายนิติบัญญัติที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองโดยมีการกำหนดสิทธิ หน้าที่ของพลเมืองและของรัฐอีกจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมและตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินฯ

ในขอบเขตทางเศรษฐกิจการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจก็เช่นเดียวกันไม่แตกต่างไปจากกฎหมายมากนัก เพราะบรรทัดฐานทางเศรษฐกิจ (Norme Economique – Economic Norm) ที่มีบทบาทและหน้าที่กำหนดวิถีการดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจของบุคคลในสังคม ก็ได้แปรสภาพเป็นกฎเกณฑ์หรือระเบียบทางเศรษฐกิจในเวลาต่อมาและพัฒนาไปสู่กฎเกณฑ์กฎหมายเศรษฐกิจในที่สุดที่ใช้บังคับต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและระหว่างบุคคลกับรัฐในทางเศรษฐกิจ

ขณะที่กฎหมายเกิดจากความจำเป็นที่สังคมต้องการดุลยภาพโดยการกำหนดกฎเกณฑ์ที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ กฎเกณฑ์กฎหมายเศรษฐกิจก็เช่นเดียวกันเกิดขึ้นจากความจำเป็นที่สังคมต้องการดุลยภาพทางเศรษฐกิจ เช่นกัน เพราะในสังคมหนึ่ง ๆ นั้น ทรัพยากรที่ใช้ตอบสนองความต้องการของบุคคลในสังคมและของสังคมมีจำนวนจำกัด จึงจำเป็นต้องมีการจัดระเบียบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างบุคคลและระหว่างบุคคลกับรัฐ เพื่อให้ทุกฝ่ายรวมทั้งรัฐได้รับผลประโยชน์และความพอใจสูงสุดจากทรัพยากรที่มีจำกัดนี้

ดังนั้น ในสังคมหนึ่งๆ กฎเกณฑ์ทางกฎหมายและกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและมีลักษณะสอดคล้องกันเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและรักษาดุลยภาพทางเศรษฐกิจของสังคม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในบางกรณีเมื่อกฎเกณฑ์ทั้งสองมีความขัดแย้งกันหรือไม่สอดคล้องกันความขัดแย้งกันหรือไม่สอดคล้องกันความขัดแย้งหรือความไม่สอดคล้องกันจะดำรงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้นเพราะกฎเกณฑ์ใดกฎเกณฑ์หนึ่งภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากฎเกณฑ์ใดจะเป็นกฎเกณฑ์นำและอีกกฎเกณฑ์ต้องปรับตามตัวอย่าง เช่น การปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ การควบคุมราคาสินค้าและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุน ถ้าปรากฏว่าความเป็นจริงทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปโดยอัตราค่าครองชีพสูงขึ้น สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ขึ้นราคาสูงมาก หรือเงื่อนไขของการส่งเสริมการลงทุนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนไม่สอดคล้องกับการลงทุนหรือกระตุ้นให้เกิดการลงทุน กฎเกณฑ์กฎหมายดังกล่าวต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกันถ้าการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์กฎหมาย กฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจก็ต้องปรับตัวตาม เช่น ตลาดต้องปรับตัวตามกฎหมายป้องกันการผูกขาด (Droit Anti trust – Antri – trust Law) และค้ากำไรเกินควรหรือตามกฎหมายป้องกันการทุ่มตลาด (anti – Dumping Law)

ในขอบเขต การจัดระเบียบทางสังคมที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งการสร้างดุลยภาพทางสังคม บนพื้นฐานของความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ไม่สามารถเป็นรากฐานรองรับพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วได้ โดยเฉพาะภายใต้ระบบและโครงสร้างทางสังคมในยุกต์โลกาภิวัฒน์ หรือโลกไร้พรมแดน ซึ่งมีผลต่อการกำหนดกรอบความคิด พฤติกรรม และความสัมพันธ์ทางสังคมรูปแบบใหม่ที่ไวต่อการับรู้ข้อมูลข่าวสาร และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในชีวิตประจำวัน

ภายใต้สังคมทุนนิยมเสรีที่มีการแข่งขันกันเข้มข้นความสัมพันธ์ทางสังคมสลับซับซ้อนและสร้างปัญหาในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับในครอบครัวในชุมชนในสังคม ในประเทศหรือระหว่างประเทศที่จะอาศัยการจัดระเบียบทางสังคมแบบปิดที่มอบอำนาจให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการจัดระเบียบทางสังคมภายใต้อำนาจที่เกิดจากระบบการเมืองและการปกครองของแต่ละรัฐโดยเอกเทศและเป็นอิสระต่อไปไม่ได้เพราะ ยุกต์โลกไร้พรมแดนจำเป็นต้องมีกรอบ แนวทางทิศทางในการจัดระเบียบที่เป็นกลาง เป็นธรรมประสานผลประโยชน์ระหว่างรัฐที่สามารถก้าวข้ามพรมแดนระหว่างรัฐได้เพื่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีทั้งของรัฐภายในและระหว่างรัฐด้วยกัน

การจัดระเบียบทางสังคมของไทยเราก็เช่นเดียวกันหลีกเลี่ยงไม่พ้นกระแสโลาภิวัฒน์ที่ต้องจัดทำกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในยุกต์ปัจจุบันเพราะกฎหมายเกี่ยวกับการจัดระเบียบทางสังคมดั้งเดิมไม่สามารถแก้ปัญหาและสร้างดุลยภาพทางสังคมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากการปรับปรุงและปฏิรูประบบการศึกษา ปฏิรูปกระบวนการคุ้มครองสิทธิ – เสรีภาพของประชาชนและแก้ปัญหาทางสังคมในรูปแบบใหม่ๆ ที่ปรากฏ
ดังนั้น กฎหมายทางสังคมซึ่งต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงฯ ได้ปรับตัวและพยายามวางหลักเกณฑ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งต้องยอมรับว่ากฎหมายเกี่ยวกับการจัดระเบียบทางสังคมไล่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงฯ แต่ก็ได้พัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลาให้ทันสมัยเพื่อสร้างดุลยภาพแห่งความสัมพันธ์ทางสังคม

2. ความหมายของกฎหมาย

ผู้มีให้คำนิยามคำว่า “กฎหมาย” ไว้หลายความหมาย ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมในแต่ละยุคสมัย แต่โดยนัยแห่งความหมายแล้วคล้ายคลึงกัน เช่น กฎหมาย คือ

1. คำสั่งของผู้ปกครองว่าการแผ่นดิน ต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามแล้วตามธรรมดาต้อง รับโทษ
2. ข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ

3. ข้อบังคับของประเทศซึ่งใช้บังคับความประพฤติของพลเมือง ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามย่อมมีความผิดและย่อมถูกบังคับทำโทษ

4. คำสั่งซึ่งหมู่ชนยอมรับรองโดยตรงหรือโดยปริยาย และประกอบขึ้นด้วยมวลข้อบังคับ ซึ่งหมู่ชนเห็นว่าสำคัญ เพื่อความผาสุกของตน และพร้อมที่จะให้มีการบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตาม

5. การแสดงออกของเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชน ซึ่งทุกคนมีสิทธิเข้าร่วมด้วยตนเองหรือโดยผ่านผู้แทนของตนในการสร้างกฎหมาย และใช้บังคับกับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครอง การป้องกันหรือการลงโทษ

6. เครื่องมือที่รับรองผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองในการที่จะรักษาสภาพไม่เท่าเทียมกันในสังคม เพื่อผลกำไรของชนชั้นตน

นิยามคำว่า กฎหมาย ในข้อ 1-3 มีความคล้ายคลึงกันมากคือเป็นคำสั่งของรัฐาธิปัตย์หรือผู้มีอำนาจที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์หรือราษฎรทั้งหลาย เป็นคำนิยามที่มาจากแนวความคิดของปราชญ์หลายท่านในช่วงศตวรรษที่ 17-19 เช่นThomas Hobbes(1588-1679) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบิดาทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่ก็สอนว่า “มนุษย์ในสภาวธรรมชาติอยู่ในสภาพที่ทุกๆคนทำสงครามกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะธรรมชาติเช่นนี้มนุษย์จึงหันมาทำสัญญาที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสังคมและยอมอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของรัฐาธิปัตย์โดยปราศจากเงื่อนไข และยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถืออำนาจปกครองนั้นโดยสงบ กฎหมายหรือมาตรการความประพฤติของมนุษย์ก็คือ สิ่งที่ผู้ถืออำนาจปกครองกำหนดขึ้นและบังคับให้ทุกคนปฏิบัติตามนั่นเอง” หลังจาก Hobbes แล้ว ในช่วงต่อมา John Austin (1790-1859 )นักปราชญ์ชาวอังกฤษก็มีความคิดในทำนองเดียวกัน โดยให้คำนิยามว่า กฎหมายคือ (Deliberately made)
พิเคราะห์จากแนวความคิดของปราชญ์ในช่วงศตวรรษที่ 17-19 ที่เกี่ยวกับกฎหมายเราจะพบว่า การยอมรับให้รัฐาธิปัตย์หรือผู้มีอำนาจออกกฎหมายมาใช้บังคับนั้นจะมีลักษณะสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมในยุคนั้นที่ซึ่งความเป็นจริง ในทางการเมืองสังคมอยู่ภายใต้ระบบการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์(Absolute Monarch – Monachie Absolue)และในทางเศรษฐกิจลัทธิเสรีนิยมเริ่มก่อตัวท่ามกลางเศรษฐกิจพาณิชญ์นิยมหรือลัทธิพาณิชญ์นิยม (Mercantilisme) ซึ่งต้องการความเป็นเอกภาพและความมั่นคงในสังคมเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเอกชนและรัฐ

นอกจากอิทธิพลแนวความคิดของHobbes แล้ว แนวความคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของกฎหมายของ John Locke ก็มีบทบาทสำคัญในการให้นิยามกฎหมายในช่วงต่อมาซึ่งจะปรากฏในข้อที่ 4 -5 ที่ว่า กฎหมายคือคำสั่งที่หมู่ชนยอมรับรองโดยตรงหรือโดยปริยาย...............และพร้อมที่จะให้มีการบังคับเพื่อปฏิบัติตาม และกฎหมายคือการแสดงออกของเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชน...........................และใช้บังคับกับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือการลงโทษ

ขณะที่ T.Hobbes เห็นว่าโดยธรรมชาติมนุษย์จะทำสงครามกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและให้สังคมดำรงอยู่อย่างมั่นคงและปลอดภัย รัฐาธิปัตย์ในฐานะ “ ผู้มีอำนาจกลางสูงสุด ” จึงต้องออกคำสั่งหรือข้อบังคับใช้กับทุกคนในสังคม ตรงกันข้าม John Locke กลับมองในแง่ดีว่า มนุษย์นั้นมีลักษณะที่ดีติดตัวมา สามารถควบคุมตัวเองได้ เมื่อต้องอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดังนั้น กฎหมายหรือคำสั่งของรัฐาธิปัตย์จึงมรฐานะเป็นแนวทางกว้างๆหรือโครงร่าง ( Framework ) ที่กำหนดให้มนุษย์ได้รู้จักใช้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆซึ่งกฎหมายไม่ใช่เครื่องมือของรัฐาธิปัตย์ที่จะใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ทุกย่างก้าว

John Locke เองไม่ได้ให้ความสำคัญต่อกฎหมายในแง่ของการบังคับแต่ให้ความสำคัญในฐานะที่เป็น ( Framework ) ในการกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคมและความสัมพันธ์ในการผลิต โดยรัฐาธิปัตย์มีหน้าที่เข้ามาช่วยเสริมความเป็นระเบียบในสังคมเพื่อให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล John Locke ถือว่าเป็นสิทธฺทางธรรมชาติที่มนุษย์ต้องการให้รัฐาธิปัตย์ปกป้องคุ้มครองด้วยกฎหมายรวมทั้งเรื่องของสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในการรับมรดกหรือกล่าวได้ว่าเป็นความต้องการของบุคคลที่จะให้รัฐคุ้มครองป้องกันทรัพย์สินส่วนตัว
จากแนวความคิดของ John Locke และนิยามความหมายของกฎหมายในข้อ 4-5 เราจะพบว่ามันเป็นคำนิยามที่สอดคล้องกับสังคมเสรีนิยมโดยเฉพาะประเทศในยุโรปและอเมริกาซึ่งในทางการเมืองขณะนั้นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ( Democracy – Democratie ) ได้รับการต้อนรับจากประชาชนในประเทศเสรีนิยมอย่างกว้างขวาง ขณะที่เศรษฐกิจระบบทุนนิยมก็ขยายขอบเขตปริมณฑลออกไปอย่างรวดเร็ว

คำนิยามสุดท้ายที่ว่า “ กฎหมายคือ เครื่องมือที่รับรองผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองในการที่จะรักษาสภาพที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม เพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นตน ” เป็นความหมายที่ได้รับอิทธิพลทางอุดมการณ์และทรรศนะสังคมนิยมที่เห็นว่าในสังคมหนึ่งๆ ประกอบไปด้วยชนชั้นทางสังคมต่างๆและชนชั้นหนึ่งในสังคมคือชนชั้นปกครองที่มีอำนาจอยู่ในมือจะออกกฎหมายมาบังคับใช้บุคคลทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง ดังนั้น ถ้านายทุนปกครองประเทศกฎหมายที่ออกมาจะมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน

นิยามคำว่ากฎหมายทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมา แม้ว่าจะเกิดจากแนวความคิดอิทธิพลทางอุดมการณ์และเงื่อนไขความเป็นจริงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่แตกต่างกัน แต่โดยวัตถุประสงค์และวิธีการออกกฎหมายมาใช้บังคับก็ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะ “ กฎหมายจะถูกจัดทำโดยผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือองค์กรมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและบุคคลของรัฐ ถ้ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ย่อมถูกลงโทษ”




1.2 ความสำคัญของกฎหมาย
ในสังคมของมนุษย์นั้นมีสมาชิกจำนวนมากที่มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านความคิดเห็นและพฤติกรรมต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีกฎระเบียบหรือกติการ่วมกัน เพื่อเป็นบรรทัดฐานสำคัญในการควบคุมความประพฤติของมนุษย์ และช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับสังคม ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย กฎหมายมีความสำคัญต่อสังคมในด้านต่างๆ ดังนี้
1. กฎหมายสร้างความเป็นระเบียบและความสงบเรียบร้อยให้กับสังคมและประเทศชาติ เมื่ออยู่รวมกันเป็นสังคมทุกคนจำเป็นต้องมีบรรทัดฐาน ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติยึดถือเพื่อความสงบเรียบร้อย ความเป็นปึกแผ่นของกลุ่ม
2. กฎหมายเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พลเมืองไทยทุกคนต้องปฏิบัติตนตามข้อบังคับของกฎหมาย ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องได้รับโทษ กฎหมายจะเกี่ยวข้องกับ การดำรงชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

3. กฎหมายก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม คนเราทุกคนย่อมต้องการความ ยุติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น การที่จะตัดสินว่าการกระทำใดถูกต้องหรือไม่นั้น ย่อมต้องมีหลักเกณฑ์ ฉะนั้น กฎหมายจึงเป็นกฎเกณฑ์สำคัญที่เป็นหลักของความยุติธรรม
4. กฎหมายเป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การกำหนดนโยบายพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทางใด หรือคุณภาพของพลเมืองเป็นอย่างไร จำเป็นต้องมีกฎหมายออกมาใช้บังคับ เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมายของการพัฒนาที่กำหนดไว้ ดังจะเห็นได้จากการที่กฎหมายได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยรัฐเป็นผู้จัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายนั้น ย่อมส่งผลให้ คุณภาพด้านการศึกษาของประชาชนสูงขึ้น หรือการที่กฎหมายกำหนดให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ พิทักษ์ปกป้อง และสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ย่อมทำให้สังคมและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนมีมาตรฐานดีขึ้น

ดังนั้น การที่ประเทศใดจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เป็นไปในแนวทางใดก็ตามถ้าได้มีบทบัญญัติของกฎหมายเป็นหลักการให้ทุกคนปฏิบัติตาม ก็ย่อมทำให้การพัฒนา คุณภาพชีวิตของประชาชนประสบผลสำเร็จได้สูงกว่าการปล่อยให้เป็นไปตามวิถีการดำเนินชีวิตของสังคมตามปกติ



1.3 องค์ประกอบของกฎหมาย
เมื่อได้ทราบความหมายของกฎหมายแล้ว กฎหมายต้องมีองค์ประกอบ ๕ ประการดังนี้

1. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ
หมายความว่า กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง คำบัญชา อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ มิใช่เป็นการประกาศชวนเชิญเฉย ๆ เช่น ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ประกาศเชิญชวนคนไทยให้สวมหมวก เลิกกินหมากและให้นุ่งผ้าซิ่นแทนผ้าโจงกระเบน ประกาศนี้แจ้งให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลนิยมให้ประชาชนปฏิบัติอย่างไร มิได้บังคับจึงไม่เป็นกฎหมาย

2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์
รัฎฐาธิปัตย์คือ ผู้ที่ประชาชนส่วนมากยอมรับนับถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน โดยที่ไม่ต้องฟังอำนาจจากผู้ใดอีก ดังนี้รัฎฐาธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาหรือลักษณะการได้อำนาจว่าจะได้อย่างไร แม้จะเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตามถ้าหากคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารเป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่ง คำบัญชาในฐานะเป็นกฎหมายของประเทศได้

3. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป
หมายความว่า กฎหมายต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป ไม่ใช่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง หรือให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอายุ เพศ หรือฐานะอย่างไรก็ตกอยู่ภายใต้ของการใช้บังคับกฎของกฎหมายอันเดียวกัน (โดยไม่เลือกปฏิบัติ) เพราะบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล หรือวางความรับผิดชอบให้แก่คนบางหมู่เหล่า แต่ก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าใช้บังคับทั่วไปอยู่เหมือนกัน เพราะคนทั่ว ๆ ไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกฎหมายนั้นก็ยังต้องปฏิบัติตามอยู่เสมอ

สาระสำคัญอีกประการหนึ่งคือ กฎหมายเมื่อประกาศมีผลบังคับใช้แล้วก็ใช้ได้ตลอกไป (CONTINUITY) จนกว่าจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือถูกยกเลิก หากไม่มีการยกเลิกก็มีผลบังคับใช้ได้เสมอ ดังสุภาษิตกฎหมายที่ว่า “กฎหมายนอนหลับบางคราวแต่ไม่เคยตาย” (THELAW SOMETIMESSLEEP, NEVER DIE)

4. กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตาม
แม้การปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกิดจากความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ แต่หากเป็นคำสั่ง คำบัญชาแล้ว ผู้รับคำสั่ง คำบัญชา ต้องปฏิบัติตาม หากขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดสภาพบังคับของกฎหมาย อันเป็นผลร้ายต่อผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้น และเป็นที่พึงเข้าใจด้วยว่าผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตามกฎหมายได้นั้นต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย

อย่างไรก็ดีแม้กฎหมายจะไม่ใช้บังคับแก่สัตว์ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมมิให้สัตว์ก่อความเสียหายหรือความเดือดร้อนรำคาญแก่มนุษย์ ดังนี้กฎหมายจึงกำหนดความรับผิดไว้กับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตามสมควร จึงมิใช่เป็นการออกคำสั่ง คำบัญชาแก่สัตว์ แต่เป็นการควบคุมโดยผ่านทางผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้คำเสียหายทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย”

5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ
เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ(SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้ว คล้ายคลึงกัน คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต ซึ่งปางประเทศให้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แขวนคอ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนการปรับคือ ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล

การริบทรัพย์สิน คือ การริบเอาทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน เช่น ปืนที่เตรียมไว้ยิงคน หรือเงินที่ไปปล้นเขามา นอกจากการริบแล้วอาจสั่งทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้

สภาพบังคับในทางแพ่งก็ได้แก่ การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น การซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตกเป็นโมฆะ การทำนิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ดี เป็นการพ้นวิสัยก็ดี เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี ตกเป็นโมฆะ การให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากการไม่ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกละเมิดเป็นต้น


1.4 ประเภทของกฎหมาย


กฎหมายที่บังคับใช้ในบ้านเรามีอยู่หลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีฐานะการบังคับใช้ที่แตกต่างกัน ในการปกครองของไทยจะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการบังคับใช้ ที่ว่าเป็นกฎหมายสูงสุดก็เพราะว่าจะไม่สามารถออกกฎหมายใดที่จะออกมาขัดหรือ แย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ หากมีกฎหมายใดๆก็ตามที่ออกมาโดยมีข้อความที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแล้ว กฎหมายฉบับนั้นจะใช้บังคับไม่ได้เลย ในตัวของกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นการบัญญัติไว้ในเรื่องต่างที่มีลักษณะ กว้างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน รูปแบบของการปกครองเช่นกำหนดให้มีคณะรัฐบาลเป็นผู้บริหารประเทศ กำหนดให้มีสมาชิก 2 ประเภทคือสมาชิกวุฒิสภากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น แต่ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องใดนั้น รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ออกเป็นกฎหมายอื่นเฉพาะเรื่อง เช่น กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง เป็นต้น

ประเภทของกฎหมาย

1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ

2. พระราชบัญญัติ

3. พระราชกำหนด

4. พระราชกฤษฎีกา

5. กฎกระทรวง

1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายหลักในการปกครองประเทศ ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ มีการพิจารณากัน 3 วาระ สำหรับการยกเลิกหรือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ในตัวรัฐธรรมนูญเองจะกำหนดวิธีการยกเลิก หรือแก้ไขที่ยากกว่าการออกพระราชบัญญัติ ทั้งนี้เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการแก้ไขบ่อยนัก การแก้ไขหรือการที่จะออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจึงต้องเป็นเรื่องที่จำเป็น จริง

2. พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ มีการพิจารณากัน 3 วาระเช่นเดียวกัน การยกเลิกหรือแก้ไขสามารถกระทำได้ง่ายกว่ารัฐธรรมนูญ

3. พระราชกำหนด มีฐานะเทียบเท่าพระราชบัญญัติ แต่การออกพระราชกำหนดจะมีวิธีที่แตกต่างจากพระราชบัญญัติคือ พระราชกำหนดจะออกโดยคณะรัฐมนตรี การที่จะออกพระราชกำหนดได้จะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ เท่านั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ก็สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้เลย ซึ่งจะต่างกับพระราชบัญญัติตรงที่พระราชบัญญัติกว่าจะออกมาบังคับใช้ได้ก็ ต้องใช้เวลานาน ต้องผ่านการพิจารณาถึง 3 วาระ แต่พระราชกำหนดเพียงแค่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก็สามารถใช้บังคับได้แล้ว เพียงแต่ว่าพระราชกำหนดนั้น เมื่อออกมาแล้วหากอยู่ในสมัยประชุมของสภา คณะรัฐมนตรีก็จะต้องนำพระราชกำหนดเข้าสู่สภาเพื่อขอความเห็นชอบทันที แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสมัยประชุมของสภา คณะรัฐมนตรีก็จะต้องนำพระราชกำหนดเข้าสู่สภาเพื่อให้สภาเห็นชอบทันทีที่เปิด สมัยประชุม และเมื่อนำเข้าสู่สภาแล้ว หากสภาให้ความเห็นชอบ พระราชกำหนดนั้นก็ใช้บังคับได้ต่อไปเหมือนกับพระราชบัญญัติ แต่หากสภาไม่ให้ความเห็นชอบพระราชกำหนดนั้นก็จะตกไปไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อ ไป แต่จะไม่กระทบกระเทือนสิ่งที่ได้ทำไปแล้วตามที่พระราชกำหนดนั้นบัญญัติไว้

4. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีฐานะการบังคับใช้ที่ต่ำกว่าพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด การออกพระราชกฤษฎีกาจะต้องมีกฎหมายประเภทพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด หรือรัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ พระราชกฤษฎีกาไม่สามารถออกได้เองโดยลำพัง ผู้ที่ออกพระราชกฤษฎีกาคือคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก็สามารถใช้บังคับได้เลย ไม่ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาเพื่อขอความเห็นชอบอีก

5. กฎกระทรวง มีฐานะที่รองลงมาจากพระราชกฤษฎีกาอีกทีหนึ่ง ผู้ที่ออกกฎกระทรวงก็คือรัฐมนตรีผู้ที่ดูแลกระทรวงนั้น การออกจะต้องออกโดยมีพระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดให้อำนาจไว้ เมื่อออกแล้วสามารถใช้บังคับได้ทันที

สำหรับ ประกาศคณะปฏิวัติ นั้น จะมีฐานะเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติ แต่การออกจะออกโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติซึ่งกุมอำนาจในขณะนั้น และจะมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอดไปจนกว่าจะมีการยกเลิก การยกเลิกนั้นจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติยกเลิก


  


1.5 ศักดิ์ของกฎหมาย


ศักดิ์ของกฎหมาย คือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมาย การจัดศักดิ์ของกฎหมายมีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่าง ๆ ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การตีความ และการยกเลิกกฎหมาย เช่น หากกฎหมายฉบับใดมีลำดับชั้นของกฎหมายสูงกว่า กฎหมายฉบับอื่นที่อยู่ในลำดับต่ำกว่าจะมีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับกฎหมายสูง กว่านั้นมิได้ และอาจถูกยกเลิกไปโดยปริยาย

เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมาย

เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายได้แก่ การพิจารณาจากผู้ตรากฎหมายฉบับนั้น ๆ ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ

สำหรับประเทศไทยนั้น รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยผู้แทนของปวงชนคือรัฐสภา เป็นการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาร่วมกันใช้อำนาจสูงสุดแห่งรัฐในการออก กฎหมาย จึงให้มีศักดิ์สูงสุด ส่วนที่มีศักดิ์รองลงมาได้แก่ พระราชบัญญัติ และพระราชกำหนด ซึ่งได้รับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนแล้วจึงผ่านไปยังวุฒิสภา เป็นการแยกกันใช้อำนาจ

ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย

ว่ากันแต่ประเทศไทยในปัจจุบัน มีทั้งกฎหมายลายลักษณ์อักษร กฎหมายจารีตประเพณี และหลักกฎหมายทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่ากฎหมายส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในรูปลายลักษณ์อักษร มากที่สุด กฎหมายที่เป็นลายลักษ์อักษร

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนรับรองและส่งเสริมสิทธิต่าง ๆ ของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังเป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายอื่นทุกฉบับ กฎหมายอื่นจึงจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมิได้ มิเช่นนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เลย

มักมีผู้เรียก "รัฐธรรมนูญ" ว่า "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" พึงทราบว่า "กฎหมายรัฐธรรมูญ" (อังกฤษ: constitutional law) นั้นเป็นคำเรียกสาขาวิชาทางนิติศาสตร์และเรียกกฎหมายมหาชนแขนงหนึ่งซึ่งว่า ด้วยการวางระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง ส่วน "รัฐธรรมนูญ" (อังกฤษ: Constitution) นั้นคือกฎหมายจริง ๆ ฉบับหนึ่งซึ่งจัดระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายชนิดนี้อยู่ในรูปของพระราชบัญญัติในประเทศไทย และมีศักดิ์เดียวกันกับพระราชบัญญัติ แต่มีวิธีการตราที่พิสดารกว่าพระราชบัญญัติเนื่องเพราะเป็นกฎหมายที่อธิบาย รายละเอียดต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญ

พระราชบัญญัติ และประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายชั้นรองลงมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นกฎหมายที่ถือได้ว่าคลอดออกมาจากท้องของรัฐธรรมนูญโดยตรง องค์กรที่มีหน้าที่ตรากฎหมายสองประเภทนี้ได้แก่รัฐสภา

พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจในการตราให้แก่ฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ใช้ในกรณีรีบด่วนหรือฉุกเฉิน พระราชกำหนดนั้นเมื่อมีการประการใช้แล้วคณะรัฐมนตรีต้องนำเสนอต่อรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ถ้ามิได้รับความเห็นชอบก็เป็นอันสุดสุดลง แต่ผลของการสิ้นสุดลงนี้ไม่กระทบกระเทือนบรรดาการที่ได้กระทำลงระหว่างใช้ พระราชกำหนดนั้น

พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นหลักการย่อย ๆ ของพระราชบัญญัติหรือของพระราชกำหนด เปรียบเสมือนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่อธิบายขยายความใน รัฐธรรมนูญ

กฎองค์การบัญญัติ เป็นกฎหมายที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นตราขึ้นและใช้บังคับภายในเขตอำนาจ ของตน ได้แก่ ข้อบังคับตำบล เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา เนื่องจากอำนาจในการตรากฎหมายประเภทนี้ได้รับมาจากพระราชบัญญัติ โดยทั่วไปจึงถือว่ากฎองค์การบัญญัติมีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ ชั่วแต่ว่าใช้บังคับภายในเขตใดเขตหนึ่งเป็นการทั่วไปเท่านั้น

กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารและไม่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา มีลักษณะคล้ายพระราชกฤษฎีกาเพราะศักดิ์ของผู้ตราต่างกัน

รองศาสตราจารย์ทัชชมัย ฤกษะสุต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า "เมื่อพระราชกฤษฎีกากับกฎกระทรวงมีความใกล้เคียงกันมาก ข้อที่พิจารณาให้เห็นถึงความแตกต่างกันว่าควรจะออกกฎหมายในรูปพระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวงนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เนื้อหาของกฎหมายที่ต้องการบัญญัตินั้นมีความสำคัญเพียงใด ซึ่งหากมีความสำคัญเป็นอย่างมากจะออกมาในรูปของพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้ามีความสำคัญน้อยกว่าก็ออกในรูปของกฎกระทรวง ผลการจัดศักดิ์ของกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร

1. การออกกฎหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายต่ำกว่าจะออกได้โดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายที่ มีศักดิ์สูงกว่าหรือตามที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้อำนาจไว้

2. กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายศักดิ์สูงกว่า จะออกมาโดยมีเนื้อหาเกินกว่าขอบเขตอำนาจที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้ไว้มิได้ มิฉะนั้นจะใช้บังคับมิได้เลย

3. หากเนื้อหาของกฎหมายมีความขัดแย้งกัน ต้องใช้กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าบังคับ ไม่ว่ากฎหมายศักดิ์สูงกว่านั้นจะออกก่อนหรือหลังกฎหมายศักดิ์ต่ำกว่านั้น
 

ข้อสอบค่ะ >>>>>>>  http://www.exam.in.th/nattariya/   <<<<<<<<